การรักษาภูมิแพ้โดยวิธีการฉีดวัคซีนภูมิแพ้
จัดเป็นวิธีใหม่ล่าสุดที่ได้รับการยอมรับทั่วโลกว่าสามารถทำให้โรคภูมิแพ้หายขาดได้โดยไม่ต้องรับประทานยา
ข้อบ่งชี้ในการรักษา
1. ผู้ป่วยที่มีอาการคัดจมูก และหวัดเรื้อรัง จากภูมิแพ้อากาศ (SEASONAL/PERENIAL ALLERGIC RHINITIS)
2. ผู้ป่วยที่มีอาการหอบหืดจากภูมิแพ้ทั้งในเด็กและผู้ใหญ่ (ALLERGIC ASTHMA)
ขั้นตอนการรักษา
1. ซักประวัติและตรวจร่างกายทางหู คอ จมูก และหลอดลม
2. ตรวจภูมิแพ้โดยที่สะกิดผิวหนัง (SKIN TEST) ทุกราย เพื่อให้ทราบว่าสารใดเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดอาการแพ้ วิธีการตรวจ SKIN TEST โดยการสะกิดผิวหนัง - โดยการใช้สารชนิดต่างๆ ประมาณ 30-32 ชนิด - ทิ้งไว้ 30 นาที แล้วแปลผลโดยดูจากปฏิกิริยาหรือผื่นที่ปรากฎ
3. หลังจากทราบว่าแพ้สารใดแล้วจะใช้สารที่แพ้ เช่น ฝุ่น ไรฝุ่น ฯลฯ ฉีดเข้าไปในชั้นผิวหนังเพื่อเพิ่มภูมิคุ้มกันโดยเริ่มฉีดจากขนาดน้อยๆในเข็มแรก
4. หลังจากนั้นจะต้องนัดมาฉีดวัคซีนในปริมาณมากขึ้นเรื่อยๆ โดยในระยะแรกจะนัด 1-2 ครั้งต่อสัปดาห์ จนถึงจุดที่ผู้ป่วยเริ่มมีภูมิคุ้มกัน ผู้ป่วยจะไม่มีอาการจึงจะเริ่มฉีดห่างขึ้นทุก 3-4 สัปดาห์ ในระยะแรก คือ 3-6 เดือนแรก อาจจะต้องใช้ยารับประทานและยาพ่นจมูก ยาพ่นหลอดลม ร่วมด้วยเพื่อควบคุมอาการ
5. โดยทั่วไปแพทย์มักจะฉีดในขนาดสมดุลทุก 4 สัปดาห์ต่ออีกประมาณ 2 ปี เป็นอย่างน้อย
ผลการรักษาโดยวิธีฉีดวัคซีน - 80% ได้ผลดีอาการน้อยลงจนหยุดยาได้ภายใน 6 – 12 เดือน - เป็นที่ยอมรับในการรักษาในปัจจุบันว่าผู้ป่วยที่รักษาด้วยวิธีนี้ภายในเวลา 5 ปี หลังจากหยุดฉีดยาพบว่ามากกว่า 60% สามารถควบคุมอาการได้ดี
ข้อเสีย
- ต้องอาศัยความร่วมมือของผู้ป่วยมาก
- ต้องใช้เวลาในการรักษานาน (ต้องฉีดวัคซีนภูมิแพ้ทุกๆเดือนต่อเนื่องอีกอย่างน้อย 2 ปี)
- ต้องฉีดโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญและโดยความระมัดระวังข้อดี เปรียบเทียบกับการรักษาโดยใช้ยา
- ไม่มีผลข้างเคียงจากยา เช่น ง่วงนอน ใจสั่น ฯลฯ - ไม่ต้องรับประทานยาทุกวันเพื่อบควบคุมอาการ
- การรักษาโดยการใช้ยาเป็นการรักษาตามอาการ แต่การรักษาโดยฉีดวัคซีนภูมิแพ้เป็นการรักษาที่ต้นเหตุของโรคภูมิแพ้ ทำให้รักษาหายขาดได้